โรคเหี่ยวสับปะรด
ลักษณะอาการ
- ปลายใบแห้ง เป็นสีน้ำตาล หรือสีม่วงแดงลามจากปลายใบเข้าสู่เนื้อใบ ขอบใบลู่ หรือม้วนเข้าหาด้านใต้ใบ ต่อมาใบแห้งคล้ายขาดน้ำ
- ระยะสุดท้ายใบจะแห้งเหี่ยวทั้งกอและรากสั้นแตกแขนงน้อย รากส่วนใหญ่เน่าแห้งตาย
การแพร่ระบาด
- การนำหน่อพันธุ์หรือจุกจากต้นที่เป็นโรคไปปลูก
- เพลี้ยแป้งเป็นแมลงพาหะนำโรค มดเป็นตัวพาเพลี้ยแป้งให้แพร่กระจายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
การป้องกันการระบาดของโรค
- ไม่มีสารเคมีชนิดใดที่ควบคุมกำจัดไวรัสหลังจากเข้าไปแพร่กระจายในต้นพืชได้
การเตรียมแปลงและหน่อพันธุ์
1. จัดสภาพแวดล้อมไม่ให้เป็นแหล่งอาศัยของมดและเพลี้ยแป้ง
2. การเตรียมดิน ควรไถพรวนดินหลาย ๆ ครั้ง ตากดินอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดปริมาณเพลี้ยแป้งและศัตรูชนิดอื่นที่อยู่ในดิน
3. ใช้หน่อพันธุ์ที่สะอาดปราศจากเพลี้ยแป้งและโรคเหี่ยว
4. แช่หน่อพันธุ์ เพื่อกำจัดเพลี้ยแป้งที่ติดมากับหน่อพันธุ์ และสามารถป้องกันการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งได้ประมาณ 1 เดือน ด้วยสารเคมีตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้
– ไทอะมีโทแซม 25% ดับเบิ้ลยูจี (WG) อัตรา 4 กรัม
– ไดโนทีฟูแรน 10% ดับเบิ้ลยูพี (WG) อัตรา 50 กรัม
– อิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล (SL) อัตรา 20 มิลลิลิตร
โดยเลือกใช้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งผสมน้ำ 20 ลิตร แช่หน่อพันธุ์นาน 5 นาที
ระหว่างปลูก
1. สำรวจแปลงปลูกสับปะรดอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
2. กำจัดต้นเป็นโรค เมื่อพบทันทีโดยการถอนไปทำลายนอกแปลง
3. กำจัดเพลี้ยแป้งเฉพาะจุดที่พบ โดยใช้สารเคมี ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้
– ไทอะมีโทแซม 25% ดับเบิ้ลยูจี (WG) อัตรา 2 กรัม
– ไดโนทีฟูแรน 10% ดับเบิ้ลยูพี (WG) อัตรา 20 กรัม
– อิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล (SL) อัตรา 20 มิลลิลิตร
– อะเซททามิพริด 20% เอสพี (SL) อัตรา 10 กรัม
โดยเลือกใช้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งผสมน้ำ 20 ลิตร พ่นเป็นวงรัศมีรอบ ๆ บริเวณที่พบเพลี้ยแป้ง หยุดพ่นในช่วงที่สับปะรดติดผลอ่อน เพื่อไม่ให้มีพิษตกค้าง
หลังเก็บเกี่ยว
- กำจัดตอเก่าและเศษซากพืชหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต
เรียบเรียง : กลุ่มพยากรณ์และเตือนการระบาดศัตรูพืช กองส่งเสริมอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย