โรคราแป้งในเมล่อน
เชื้อสาเหตุโรค
สาเหตุของโรคนี้ คือ Erysiphe cichoracearum ผง (Oidium melonis) สีขาวที่เห็นคล้ายเป็นผงแป้งนั้น จะปลิวไปกับลมได้โดยง่าย แล้วจะงอกเข้าทำลายเกิดโรคนี้ต่อไปได้อีก ซึ่งผงสีขาวคือสปอร์ conidia ชนิดหนึ่งที่แพร่ระบาดไปได้ง่ายมาก โดยมีลักษณะอาการจะเป็นจุดเล็ก ๆ สีเหลืองบนใบ และขยายการทำลายไปทั่วหรือแม้แต่ตามผิวของลำต้น โดยบนผิวของพืชส่วนนั้นจะเกิดเป็นสีขาวคล้ายกับการโรยแป้งฝุ่น ในที่เป็นโรคมักจะเหี่ยวและแห้งไป อาจจะติดลำต้น
การแพร่ระบาดของโรค
- มักจะเข้ามาทำลายพืชที่มีอายุค่อนข้างมากหรือใกล้เก็บเกี่ยว เนื่องจากราที่ก่อให้เกิดโรคราแป้งจะมีพืชที่อาศัยอยู่จำนวนมาก และมีการปลูกอยู่ตลอดฤดูกาล หรือมีการปลูกตลอดเกือบทั้งปี ไม่ได้คำนึงถึงฤดูกาลแต่อย่างใด
- แหล่งกำเนิดของราที่เป็นสาเหตุของโรคราแป้งนั้น จะสามารถแพร่ระบาดได้ตลอดเวลา สปอร์แพร่กระจายโดยตัวกลางที่หลากหลาย เช่น ลม อากาศ ติดไปกับแมลง ในฤดูหนาวช่วงเวลาในกลางคืน จะมีอากาศที่หนาวเย็นและมีความชื้นสูง ในตอนเช้าก็จะมีหมอก เวลากลางวัน จะมีอากาศที่อบอุ่นไปจนถึงร้อน เป็นสภาพที่เหมาะสมที่รา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคราแป้งจะเข้าไปทำลายพืชผลผลิตได้รุนแรงในสภาพอากาศที่แห้ง
- อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกของสปอร์ของเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคราแป้งนั้น อยู่ที่ 15-25 องศาเซลเซียสและระยะฟักตัวของเชื้อราอยู่ที่ 10-12 วัน เชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคราแป้ง คือ Oidium sp. มักระบาดเป็นอย่างมากและรุนแรงในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์
การป้องกันกำจัด
1.ใช้พันธุ์ไม้ที่มีความแข็งแรง สามารถต้านทานโรคได้
2.หมั่นสำรวจแปลง หากพบโรคราแป้งเข้าทำลายให้เด็ดหรือตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลาย
3.เมื่อเริ่มพบการระบาดให้ทำการฉีดพ่นด้วยกำมะถันชนิดผง หรือสารเคมีกำมะถันเป็นส่วนผสม เช่น ไมโครไธออล สเปเชียล (กำมะถัน เนื้อทอง) ถ้ามีการระบาดอย่างรุนแรงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีป้องกันสารเคมีกำจัดโรคพืช เช่น เบนโนมิล ไตรโฟลีน โพรฟิเนบ ไพราโซฟอส และคาร์เบนดาร์ซิม เป็นต้น ควรใช้ในปริมาณหรืออัตราส่วนการใช้ตามฉลากเท่านั้น
คำแนะนำ : อัตราส่วนตามฉลากข้างขวด การฉีดพ่นในเวลาที่ไม่มีแสงแดดหรืออากาศไม่ร้อนจัด ถ้าใช้ความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดอาการใบไหม้ และเนื่องจากเส้นใบของเชื้อราเจริญอยู่ด้านใต้ใบ ดังนั้น ในการฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชให้ได้ผลดีต้องพยายามพ่นให้ถูก ส่วนบริเวณใต้ใบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะสารเคมีประเภทสัมผัส สำหรับกำมะถันชนิดผง ถ้าพ่นแต่ด้านบนใบแทบจะไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด
4.เมื่อมีโรคเกิดขึ้นควรพ่นป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี เช่น เบโนมีล 10 กรัมต่อน้ำปริมาณ 20 ลิตร หรือไดโนแคะ 30 กรัมต่อน้ำปริมาณ 20 ลิตร
5.ถ้าเกิดโรคราแป้งที่ส่วนของผล ดังนั้น จะต้องพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อก่อนดอกจะเริ่มบานให้พ่นทั่วช่อดอกและผลอ่อน หรือแม้แต่ผลขนาดใหญ่ที่ใกล้แก่ที่กำลังมีลักษณะอาการของโรคนี้อยู่
6.การตัดแต่งกิ่ง ใบ ให้ทรงต้นโปร่ง เก็บรวบรวมเศษซากพืชที่เป็นโรคเผาทำลาย เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกครั้งที่ตัดแต่ง หรือใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชเบนโนมิลผสมน้ำพ่นในระยะที่มีการระบาดอย่างสม่ำเสมอ
7.ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา โดยใช้คลุกเมล็ดพันธุ์ ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาฉีดพ่น อัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 200 ลิตร หรือเชื้อแบคทีเรีย บีเอส (บาซิลลัส ซับทิลิส) ฉีดพ่นเมื่อเริ่มงอกทุก 5 วัน จำนวน 3 ครั้ง
จัดทำโดย : สำนักงานเกษตรอำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว